คอลลาเจน (Collagen)
คือ โปรตีนธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยสารสำคัญ 2 ชนิด ได้แก่ Proteoglycan และ Glycosaminoglycans เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างแบบตาขายหนาแน่นขนาดเล็ก และมีความแข็งแรงมาก เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนังชั้นหนังแท้(Dermis) และ กระดูก รวมทั้งเส้นผม,เล็บ,ข้อต่อ,ผนังหลอดเลือดเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นโครงสร้างเหล่านี้จะค่อยๆเสื่อมสลายไป และร่างกายก็จะสามารถสร้างคอลลาเจนใหม่มาทดแทนได้น้อยลงเรื่อยๆ
กระทั่งเมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ทันตามการสูญเสียของร่าง กาย จะทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง รวมทั้งเกิดการเสื่อมของข้อต่อและกระดูก เราจึงจำเป็นต้องรับประทานคอลลาเจนเสริม เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปตามธรรมชาติ
ระดับของปริมาณคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยพบว่า ผู้ที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณคอลลาเจนลดลงทุกปี ปีละ 1.5% ซึ่งมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ลักษณะอาการเมื่อร่างกายเริ่มสูญเสียคอลลาเจน
อายุ 30 – 39 ปี
- มีรอยย่นบางๆ บริเวณหน้าผาก
- มีริ้วรอยบางๆบริเวณหางตาและขอบตาด้านล่าง ขณะยิ้ม
- เกิดรอยย่นบางๆบริเวณหว่างคิ้วขณะที่นิ่วหน้า
- เกิดรอยร่องแก้มบางๆจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก
- รูขุมขนกว้างขึ้น ผิวเริ่มหยาบกร้าน ขาดความเนียนนุ่ม
อายุ 40-49 ปี
- เกิดริ้วรอยร่องลึก บริเวณหน้าผาก,หว่างคิ้ว,หางตาและขอบตาล่าง
- มีร่องแก้มลึกจนเห็นได้ชัดเจน
- รูขุมขนกว้าง,ผิวแห้ง,มีฝ้าชนิดลึกมาก
- เกิดสภาวะเริ่มตกกระ คือ มีสิว,ติ่งเนื้อ,กระจายเป็นตุ่มเล็กๆสีน้ำตาลบนใบหน้า
อายุ 50-64 ปี
- มีริ้วรอยร่องแก้ม,หน้าผาก,หว่างคิ้ว,หางตา ชัดเจนขึ้น
- ผิวหนังเริ่มแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
- รอยฝ้า,ติ่งเนื้อ มองเห็นได้อย่างชัดเจน
อายุ 65 ปี ขึ้นไป
- ริ้วรอยเหี่ยวย่นชัดเจนทั่วใบหน้า
- ผิวหนังมีลักษณะหยาบกร้าน ขาดความตึงกระชับอย่างเห็นได้ชัดเจน
- เกิดรอยย่นชัดเจนบริเวณริมฝีปาก
โดยทั่วไปแล้ว คอลลาเจนจะไม่สามารถรับประทานโดยตรงได้ เพราะมีขนาดและความหนาแน่นสูงมากทำให้ดูดซึมได้ยาก จึงจำเป็นต้องผ่านกระบวนการทำให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเรียกว่า คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท (Collagen Hydrolysate) หรือเปปไทด์(Peptide)เป็นคอลลาเจนพร้อมรับประทาน
ประโยชน์ของคอลลาเจน ไฮโดรไลเซท กับผิวพรรณ
โครงสร้างของผิว ผิวหนังมีส่วนประกอบ 3 ชั้น คือ
1. ชั้นหนังกำพร้า(Epidermis) ประกอบด้วยเซลล์ผิว 2 ชนิด ทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อม และสารเคมีต่างๆไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย และMelanocytes ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งทำให้ผิวเรามีสีเข้ม มีหน้าที่ปกป้องผิวจากแสงอาทิตย์ได้ในระดับหนึ่ง
2.ชั้นหนังแท้(Dermis)ทำหน้าที่รองรับเส้นเลือดและเส้นขน ประกอบด้วย คอลลาเจน(Collagen)เป็นโปรตีนที่ช่วยทำให้ผิวเต่งตึง อิลาสติน(Elastin)เป็นสารที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว และในชั้นหนังแท้นี้ยังมีเส้นเลือดฝอย, เส้นประสาท,รากขน,ต่อมเหงือ,ต่อมไขมัน และ Hyaluronic acid ซึ่งเป็นของเหลวที่กระจายทั่วไปในชั้นผิว ช่วยในการกักเก็บความชุ่มชื้น และเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี
3.ชั้นใต้หนังแท้ (Hypodermis) เป็นชั้นที่มีไขมันสะสมอยู่ในรูปเนื้อเยื่อไขมัน ทำหน้าที่ป้องกันแรงกระทบจากภายนอก และช่วยปกป้องอวัยวะภายใน
คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท เพิ่มความกระชับเต่งตึง และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
ภายในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75% ซึ่งคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิว มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “เคราติน (Keratin)” มีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นดี ทำให้ผิวกระชับเต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย และเสริมความเรียบตึงให้กับผิว
แต่โดยปกติแล้ว เมื่อคนเรามีอายุ 25 ปีขึ้นไป อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนจะลดลงปีละ 1.5% ในทุกๆปี และเมื่ออายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวจะลดลงไปแล้วกว่า 30% ซึ่งเกิดขึ้นชัดเจนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยมีผลทำให้ ผิวพรรณสูญเสียความชุ่มชื่น ขาดความเนียนนุ่มและความยืดหยุ่น ผิวจะค่อยๆแห้งกร้าน และยุบตัวลงทุกปี ทำให้เกิดริ้วรอยเหยี่ยวย่น โดยเฉพาะรอยตีนกา เพราะผิวหนังรอบดวงตามีความบอบบางมาก อีกทั้งยังเป็นกล้ามเนื้อวงกลมที่ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาจึงเกิดริ้วรอยได้มากกว่าที่อื่น
จากการวิจัยด้านโภชนาการ พบว่า การรับประทานคอลลาเจนเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยเติมคอลลาเจนที่พร่องลงตามวัย สามารถป้องกันและชะลอริ้วรอยเหยี่ยวย่น, รอยตีกา, ความแห้งกระด้าง ช่วยรักษาผิวพรรณให้มีความชุ่มชื้น นุ่มนวลเรียบเนียน และคงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้
ประโยชน์ของคอลลาเจน ไฮโดรไลเซท เพื่อบำรุงข้อต่อและกระดูก
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เซลล์กระดูกอ่อนจะมีการสร้างคอลลาเจนลดลง ประกอบกับการที่ร่างกายมีการใช้กระดูกและข้อมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้อต่อขาดความยืดหยุ่น เพราะกระดูกแข็งที่อยู่ใต้กระดูกอ่อนของผิวข้อ มีการสัมผัสหรือเสียดสีกัน ทำให้เกิดอาการปวดขณะเคลื่อนไหว หรือก่อให้เกิดปัญหาข้อเสื่อม, กระดูกเสื่อม, ปวดข้อ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นกระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักได้ และเกิดการเปราะหักได้ง่าย
ในทางการแพทย์จึงมีการนำ คอลลาเจน มาใช้ประกอบการรักษาผู้มีปัญหาข้อเสื่อม เพราะคอลลาเจน เป็นอีกส่วนประกอบของข้อต่อและกระดูก ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมกระดูกและอวัยวะต่างๆ ให้อยู่ด้วยกัน ช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี รวมทั้งช่วยให้ข้อต่อต่างๆขยับเคลื่อนไหวได้อย่างไม่ติดขัด โดยเฉพาะข้อต่อในการรับน้ำหนัก และส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ
ประโยชน์ของคอลลาเจน ไฮโดรไลเซท เพื่อการควบคุมน้ำหนัก และกระชับสัดส่วน
คอลลาเจนจะกระตุ้นการหลั่งของ Growth hormone ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยการหลั่งของฮอร์โมนนี้จะเกิดในช่วง 45-90 นาที แรกของการหลับ (ช่วง Alpha Phase Period) ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่ร่างกาย จะเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ และสลายไขมัน โดยการเผาผลาญพลังงานนี้ต้องใช้คอลลาเจนควบคู่กันไปด้วย ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในส่วนนี้ ควรรับประทานคอลลาเจนขณะท้องว่างอย่างน้อย 3 ช.ม. ก่อนนอน
ข้อแนะนำในการรับประทาน •เพื่อบำรุงสุขภาพผิว รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร •เพื่อบำรุงข้อต่อและกระดูก รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร •เพื่อควบคุมน้ำหนัก รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ขณะท้องว่างอย่างน้อย 3 ช.ม. ก่อนนอน
เอกสารอ้างอิง
1. Clark KL, Sebastianelli W, Flechsenhar KR, Aukermann DF, Meza F, Millard RL, et al. 24-Week study on the use of collagen hydrolysate as a dietary supplement in athletes with activity-related joint pain. Current Medical Research and Opinion. 2008 May; 24(5):1485-1496.
2. "What is Hydrolyzed Collagen?". Rousselot. Retrieved 31 July 2009.